การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
ท้องเริ่มเหมือนคนตั้งครรภ์แล้ว!
เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเห็นได้จากภายนอกร่างกาย โดยจะเริ่มรู้สึกว่า “มีทารกอยู่ในท้อง!”
จะรู้สึกมีความสุขเมื่อท้องเริ่มขยายใหญ่
ซึ่งจะรู้สึกแบบนี้ได้แค่ในช่วงตั้งครรภ์เท่านั้น
มาเพลิดเพลินกับความสุขเช่นนี้กันเถอะ!
จะเกิดผิวแตกลายแน่นอนหรือไม่?
ผิวแตกลายหมายถึงเส้นที่แสดงให้เห็นการบวมที่เกิดขึ้นในตอนที่ตั้งครรภ์และเต้านมเริ่มใหญ่
อาจจะเกิดขึ้นกระทันหันในไตรมาสที่ 3 หรือเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์
ทำไมถึงเกิดผิวแตกลาย?
สาเหตุของผิวแตกลายคืออะไร?
ในตอนที่ท้องเริ่มใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังด้านนอกจะไม่สามารถรับมือกับความเร็วในการเพิ่มขึ้นของกล้ามเนื้อและไขมันได้ จึงทำให้ผิวแตกลาย ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นกับทุกคนแน่นอน แต่ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและรูปร่าง คนที่รูปร่างเล็กกับคนที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ จะเกิดผิวแตกลายได้ง่าย ไม่มีอาการเจ็บแต่มีบางคนบอกว่าจะรู้สึกคัน ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อลูกในท้อง แต่หากเป็นแล้วครั้งหนึ่งจะไม่สามารถลบเลือนหายไปได้หมด ควรจะคิดแทนว่า “ผิวแตกลายเป็นหลักฐานของคุณแม่!” หรือกรณีที่ไม่อยากให้มีรอยที่ผิว ก็ควรป้องกันเอาไว้
เพื่อป้องกันผิวแตกลาย
ในการป้องกันก่อนเกิดผิวแตกลาย มีสิ่งสำคัญ 2 ประการดังต่อไปนี้
●ระวังการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว
ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของการตั้งครรภ์ สิ่งสำคัญที่สุดคือจะต้องใส่ใจกับการควบคุมน้ำหนักตัวเพื่อไม่ให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้น ๆ ขอให้พยายามควบคุมแคลอรี่เพื่อให้ลูกในท้องเติบโตอย่างแข็งแรง และควบคุมน้ำหนักตัวให้เพิ่มขึ้นตามเกณฑ์
●รักษาความชุ่มชื้นของผิวด้วยครีม ฯลฯ
ผิวแตกลายเป็นปัญหาด้านผิวหนัง ในการป้องกันปัญหาด้านผิวหนัง ตามหลักการก็ต้อง “รักษาความชุ่มชื้น” แบบเดียวกับหน้าด้วย หลังอาบน้ำหรือล้างหน้าตอนเช้า ขอให้ทาครีมให้ความชุ่มชื้นที่ท้องและนวดเบา ๆ หากรักษาสภาพผิวให้ชุ่มชื้นและมีความยืดหยุ่นได้ ในตอนที่ท้องเริ่มใหญ่ขึ้น ผิวหนังจะยืดอย่างยืดหยุ่นซึ่งจะจะช่วยป้องกันผิวแตกลายได้ ปัจจุบันมีครีมสำหรับป้องกันผิวแตกลายโดยเฉพาะ ขอให้ลองใช้ดู
ในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่จะมีผิวแตกลายเกิดขึ้นในจุดที่มองเห็นเองได้ยาก เช่น ในบริเวณท้องด้านล่าง การรักษาความชุ่มชื้นของผิวหน้าท้องทั้งหมดจึงเป็นสิ่งสำคัญ
หากเกิดผิวแตกลาย
หากเกิดผิวแตกลายแล้วครั้งหนึ่ง จะไม่สามารถลบเลือนให้หายไปได้หมด ซึ่งในระหว่างที่ตั้งครรภ์ จะมีสีแดง แต่หลังคลอดจะมีสีค่อนข้างขาวและจะค่อย ๆ จางลงไป
หลังเกิดผิวแตกลาย หากยังคงทาครีมให้ความชุ่มชื้นและนวด อาจจะช่วยป้องกันไม่ให้สีเข้มขึ้นกว่านั้นได้ สิ่งสำคัญคืออย่ายอมแพ้!
เต้านมจะเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อใด?
มีบางคนที่หัวนมจะไวต่อความรู้สึก ซึ่งเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์
และหัวนมหรือลานนมอาจจะมีสีคล้ำขึ้นพร้อมกับการตั้งครรภ์
ในขณะตั้งครรภ์ แม้ว่าจะยังไม่มีน้ำนมออกมาแต่เต้านมก็เริ่มใหญ่ขึ้น
ลองมาดูความเปลี่ยนแปลงรอบ ๆ เต้านมกัน
การเปลี่ยนแปลงในช่วงไตรมาสที่ 1 ของการตั้งครรภ์
มีไม่น้อยที่พบว่าการเปลี่ยนแปลงของหัวนมหรือลานนมเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์ อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นตำแหน่งที่ละเอียดอ่อนที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทันทีที่ตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของหัวนมและลานนมที่เห็นได้ว่าเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์มีดังนี้
●ไวต่อความรู้สึก
อาจจะรู้สึกเจ็บหรือรู้สึกแปลบ ๆ แค่เพียงหัวนมสัมผัสถูกชุดชั้นในหรือเสื้อผ้า เนื่องจากหัวนมเริ่มมีการสร้างต่อมน้ำนม
●สีคล้ำขึ้น
เม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสมดุลฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ และทำให้หัวนมและลานนมมีสีคล้ำขึ้น
*ขอให้ทำการตรวจอัลตราซาวด์มะเร็งเต้านมให้เสร็จเรียบร้อยภายในช่วงเวลานี้ (ภายใน 15 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์)!
การเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 จนถึงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์
เต้านมจะค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น ในระหว่างตั้งครรภ์ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีน้ำนม แต่ทำไมถึงใหญ่ขึ้น นั่นเป็นเพราะมีการสร้างต่อมน้ำนมขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งมีไขมันเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับทั้งร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของเต้านมในระยะเวลานี้มีดังนี้
●เต้านมใหญ่ขึ้น
อาจจะมีปัญหาผิวแตกลายแบบเดียวกับท้อง เนื่องจากเต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น ควรดูแลผิวด้วยครีมให้ความชุ่มชื้น ฯลฯ ที่เต้านมด้วย
●อาจจะมีน้ำนมไหลออกมา
อาจจะมีน้ำนมไหลออกมาเล็กน้อย (สารคัดหลั่งที่มีสีขาวขุ่น) เมื่อเกิดสิ่งกระตุ้นที่หัวนมเนื่องจากต่อมน้ำนมได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว
การดูแลเต้านม (หัวนม) ทำอย่างไร?
น้ำนมที่ไหลออกมาจากเต้านม
จะเป็นแหล่งของสารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูก
การดูแลหัวนมและลานนมในขณะตั้งครรภ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ
เพื่อให้หลังคลอดสามารถเริ่มให้นมลูกได้อย่างไม่มีปัญหา
ทำไมต้องดูแล?
หลังคลอด เต้านมของคุณแม่จะมีน้ำนมและขยายใหญ่ขึ้นตามธรรมชาติ แต่การไหลของน้ำนมจะมีความแตกต่างระหว่างบุคคล เหตุผลที่ไหลแตกต่างกันเนื่องจากความแตกต่างของรูปร่างหัวนม, สภาพการเปิดของต่อมน้ำนม (ท่อน้ำนม) เป็นต้น
รูปร่างของหัวนมจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งมีทั้งรูปร่างที่ลูกดูดได้ง่ายและดูดได้ยาก หากหัวนม แบน เด็กจะดูดนมได้ยาก
สภาพของต่อมน้ำนมและทางออกของน้ำนม
หากต่อมน้ำนมและทางออกของน้ำนมติดขัด อาจจะทำให้เส้นทางการไหลของน้ำนมไม่ดี และออกได้ยาก
การดูแลหัวนมและลานนม
เพื่อให้เต้านมอยู่ในสภาพที่ลูกดูดนมได้ง่ายและน้ำนมไหลออกง่าย ขอให้นวดส่วนของหัวนมและลานนมตั้งแต่ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ซึ่งเข้าสู่ช่วงคงที่แล้ว (ประมาณ 20 สัปดาห์) นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ที่ช่วยดัดหัวนมที่บุ๋มหรือแบนได้ด้วย
*แต่ร่างกายในขณะตั้งครรภ์จะบอบบางมาก มีบางกรณีที่การนวดไปกระตุ้นให้รู้สึกท้องอืด ดังนั้นก่อนที่จะนวดหรือใช้อุปกรณ์ ขอให้ปรึกษาแพทย์หรือแพทย์ผดุงครรภ์ก่อน
●การนวดหัวนม
การนวดหัวนมและลานนม หากทำหลังอาบน้ำจะทำให้ผิวนุ่มและได้ผลมาก
ให้ประคองเต้านมด้วยมือข้างเดียว และจับลานนมด้วยนิ้วอีกข้าง ค่อย ๆ บีบนวดทั้งข้างซ้ายและข้างขวาทีละน้อย
หากลานนมยังไม่อ่อนนุ่ม ให้ดันออกไปทางหัวนมและปล่อย
ให้จับหัวนมและดึงเบา ๆ
*ก่อนที่จะเริ่มนวดหัวนมและลานนม ขอให้ล้างมือและเต้านมให้สะอาดก่อน
นอกจากนี้ เมื่อมีการกระตุ้นหัวนม อาจจะทำให้ท้องอืดได้ ในกรณีดังกล่าว ขอให้หยุดทำทันที
ทำไมจึงจำเป็นต้องควบคุมน้ำหนักตัว?
เมื่อผ่านช่วงเกิดอาการแพ้ท้อง
ก็จะรู้สึกว่าหิวง่ายกว่าตอนก่อนท้อง
แต่ความคิดที่ว่า “ต้องกินในปริมาณ 2 คนเผื่อลูกด้วย” นั้นเป็นความคิดแบบเก่าๆ
ในยุคปัจจุบันที่อาหารการกินมีความสมบูรณ์นั้น
สิ่งสำคัญก็คือปริมาณที่เหมาะสมและความสมดุลทางโภชนาการ
รายละเอียดการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวเป็นอย่างไร?
ทารกเกิดมามีน้ำหนักแค่ประมาณ 3 กิโลกรัม แต่ทำไมน้ำหนักตัวจึงเพิ่มขึ้นมากกว่านั้น?
ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในขณะตั้งครรภ์ กล่าวกันไว้ดังรายละเอียดดังต่อไปนี้
●น้ำหนักของทารกในครรภ์→ประมาณ 3 กิโลกรัม
●น้ำหนักของรก→ประมาณ 0.5 กิโลกรัม
●น้ำหนักของน้ำคร่ำ→ประมาณ 0.5 กิโลกรัม
●น้ำหนักของมดลูก, เต้านม, เลือด ฯลฯ ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการตั้งครรภ์→ประมาณ 4 กิโลกรัม
เมื่อรวมแล้วก็จะได้น้ำหนัก “ประมาณ 8 กิโลกรัม”บวกกับการสะสมของไขมันและปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสมดุลฮอร์โมนอันเนื่องจากการตั้งครรภ์อีกด้วย
เหตุใดจึงไม่ควรให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากเกินไป?
ผลร้ายที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวมีดังต่อไปนี้
ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์ได้ง่าย เช่น โรคความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ โรคเบาหวานจากการตั้งครรภ์ ฯลฯ
อาจจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะมดลูกหดรัดตัวน้อยกว่าปกติในตอนคลอด
หากไขมันสะสมมากเกินไปจะทำให้ช่องคลอดแคบ หรือทารกมีขนาดตัวใหญ่เกินไป มีแนวโน้มที่จะคลอดลูกลำบาก
น้ำหนักตัวน้อยเกินไปก็มีปัญหา
ส่วนอีกด้าน คุณแม่ที่น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมในขณะตั้งครรภ์ก็มีแนวโน้มที่เพิ่มจำนวนขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา
“คลอดให้ตัวเล็ก และเลี้ยงให้เติบใหญ่” นั้นเป็นคำภาวนาในการคลอดลูกอย่างปลอดภัยก็จริง แต่หากควบคุมน้ำหนักมากเกินไป ก็อาจจะเป็นเหตุทำให้ทารกคลอดออกมาโดยมีน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์ (ไม่ถึง 2500 กรัม) ได้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตามสิ่งสำคัญคือทำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม อย่าควบคุมน้ำหนักมากเกินไป จนทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็น
เพื่อรักษาน้ำหนักตัวที่เหมาะสมในขณะตั้งครรภ์ ควรทำอย่างไร?
คราวนี้มาดูเกี่ยวกับการควบคุมน้ำหนักตัว
อย่างเป็นรูปธรรมกันเถอะ
หลักสำคัญก็คือ คิดถึงความสมดุลมากกว่าเรื่องปริมาณ
บวกกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม!
เป้าหมายการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวในเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์คืออะไร?
เป้าหมายการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวในขณะตั้งครรภ์ที่แนะนำโดยทางกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่นได้ประกาศออกมาเมื่อปีพ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) มีรายละเอียดังต่อไปนี้
นี่คือ BMI (Body Mass Index) ที่แบ่งตามโครงสร้างของร่างกาย
●คนที่มีรูปร่างผอม (BMI=น้อยกว่า 18.5) →9 - 12 กิโลกรัม
●คนที่อยู่ในระดับมาตรฐาน (BMI=18.5 - น้อยกว่า 25) →7 - 12 กิโลกรัม
●คนที่มีรูปร่างอ้วน (BMI=ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป) →ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล (เป้าหมายประมาณ 5 กิโลกรัม)
*สูตรการคำนวณ BMI คือ [น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / [ส่วนสูง (เมตร)]2
เพื่อการควบคุมน้ำหนักตัวที่เหมาะสม ควรทำอย่างไร?
ชั่งน้ำหนักบ่อยๆ
เช่นเดียวกับตอนที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการควบคุมน้ำหนักตัวก็คือ การรู้ถึงสภาพปัจจุบัน ขอให้ชั่งน้ำหนักด้วยเครื่องชั่งเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวเอาไว้ หากเป็นไปได้ให้เขียนเป็นกราฟ แล้วติดเอาไว้ในที่ๆ มองเห็น
ไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเกิน 300 กรัมใน 1 สัปดาห์
น้ำหนักตัวที่สามารถเพิ่มขึ้นได้ภายใน 1 สัปดาห์คือไม่เกิน 300 กรัม หากเพิ่มขึ้นมากเกิน 500 กรัมต้องระวัง สำหรับคนที่คิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะตรวจเช็คอย่างละเอียดเช่นนั้น ก็ให้ควบคุมโดยตั้งเป้าหมายไว้ไม่เกิน 1 กิโลกรัมใน 1 เดือน
เมื่อพ้นช่วงเกิดอาการแพ้ท้องให้กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ ลดการกินของจุกจิก
ขอให้เลิกกินของจุกจิกโดยอ้างว่าหิว พยายามกินอาหารให้ตรงตามเวลา และบริโภคสารอาหารให้ครบถ้วน
สำหรับผู้ที่รอกินข้าวพร้อมสามี แต่สามีกลับบ้านค่ำเลยอ้างว่า “ทนไม่ไหวในระหว่างที่รอ!” นั้นขอแนะนำให้แบ่งปริมาณอาหาร 3 มื้อเป็น 4 ครั้ง ตอนช่วงเย็นให้กินอาหารเบา ๆ ในปริมาณเท่าของว่าง เวลากินอาหารเย็นก็ให้กินน้อยกว่าสามี
คิดถึงความสมดุลมากกว่าเรื่องปริมาณ
ลดปริมาณน้ำตาล ไขมัน ที่จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ควรจะลดปริมาณเกลือเนื่องจากเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์และทำให้กินข้าวได้มากเกินไป การรักษาสมดุลเป็นสิ่งสำคัญทั้งสำหรับร่างกายของคุณแม่และทารก บริโภคผักมาก ๆ เพื่อทำให้รู้สึกอิ่มท้องและใส่ใจบริโภคอาหารที่มีโปรตีน ธาตุเหล็ก และแคลเซียม
ใส่ใจออกกำลังกายให้เหมาะสม
แม้จะพูดกันว่า “คนตั้งครรภ์ควรพักผ่อนอยู่นิ่ง ๆ” แต่การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมก็เป็นสิ่งที่สำคัญ การเดินไม่ก่อให้เกิดผลร้ายทั้งต่อคุณแม่และลูกในครรภ์ พอเข้าสู่ช่วงปลอดภัยขอแนะนำให้ไปเดินเล่นหรือเดินออกกำลังกายทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง แน่นอนว่าการทำงานบ้านตามปกติก็สามารถทำได้
ในระยะหลังมีคนที่แม้น้ำหนักตัวจะเป็นปกติแต่ก็คลอดลูกยากเนื่องจากกล้ามเนื้อไม่แข็งแรงเพิ่มมากขึ้น การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ไม่เพียงแต่จะเป็นการลดแคลอรี่เท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างกล้ามเนื้อซึ่งถือเป็นการเตรียมตัวสำหรับการคลอดลูกอีกด้วย สำหรับคนที่เดินออกกำลังกายและทำงานบ้านแล้วน้ำหนักตัวยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขอให้ลองไปเข้าคอร์สว่ายน้ำหรือเต้นแอโรบิคสำหรับคนตั้งครรภ์ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ก็อาจจะช่วยได้
มักจะคิดกันว่า “การควบคุมน้ำหนักเป็นเรื่องลำบาก...” แต่นี่ถือว่าเป็นการควบคุมสุขภาพที่สำคัญสำหรับคน 2 คนทั้งคุณแม่และทารก
หากตั้งใจพยายามไปพร้อมกับทารกโดยคิดว่า “นี่เป็นการทำเพื่อให้ลูกในท้องคนสำคัญเจริญเติบโตและคลอดออกมาอย่างแข็งแรง” ก็จะทำให้การควบคุมน้ำหนักดูเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นใช่ไหม?
อาการปัสสาวะเล็ดของแม่ตั้งครรภ์
เชื่อว่าคุณแม่หลายท่านอาจจะมีอาการแปลกๆที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ใช่ไหมคะ หนึ่งในนั้นคืออาการปัสสาวะเล็ด ที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับแม่ๆทุกท่าน
จริงๆแล้วอาการปัสสาวะเล็ดนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป แต่อาจจะเกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก ปกติเราจะควบคุมการไหลปัสสาวะของเราได้ แต่ในบางกรณี เมื่ออยู่เหนือการควบคุมก็ทำให้ปัสสาวะเล็ดลอดออกมา เนื่องจากในช่องท้องมีแรงดันเพิ่มขึ้น เช่น ไอ จาม หัวเราะ หรือเวลาที่เรายกของหนัก ๆ (บางคนเกิดอาการกลัวมาก ๆ ก็ปัสสาวะเล็ดได้เหมือนกัน)
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างสูง ระบบทางเดินปัสสาวะมีการขยายตัว ส่งผลให้กล้ามเนื้อหูรูดไม่แข็งแรง ประกอบกับหนูน้อยในท้องตัวโตขึ้น มดลูกเลยขยายตัวจนกดทับกระเพาะปัสสาวะ จนทำให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยเฉพาะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์อยู่ในช่วง 3 เดือนสุดท้าย
วิธีแก้
1. เมื่อมีอาการปวดปัสสาวะให้รีบเข้าห้องน้ำโดยด่วน อย่ากลั้นไว้
2. การดื่มน้ำให้น้อยลงนั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกวิธี อาจจะส่งผลให้ปัญหาอื่นๆตามมา
3. หลังคลอดอาการปัสสาวะเล็ดก็จะค่อย ๆ หายไปเอง ไม่ต้องกังวล แต่ถ้าคุณแม่ยังมีอาการต่อเนื่อง ก็ควรปรึกษาคุณหมอ
โดยสรุปคือ ปัญหาปัสสาวะเล็ดถือไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร การพกกางเกงชั้นใน และกางเกงติดตัวไว้สัก 1 ชุด ก็อาจจะเป็นการป้องกันที่ดีเลยนะคะ
ขอบคุณรูปภาพประกอบจากเว็บไซต์ pnmag
update : 19.09.2560
ระบบมีการใช้งานคุกกี้บนเบราเซอร์ของคุณ หากต้องการใช้งานโปรดเปิดใช้งานคุกกี้ กรณีที่คุณใช้ Safari บน iPhone หรือ iPad โปรดปิดโหมดการเรียกดูส่วนตัว หากคุณลบข้อมูลคุกกี้ รายการโปรดที่คุณเลือกไว้จะถูกลบไปด้วย